ห่างหายไปนาน..จำได้ว่ามี blog อยู่ วันนี้เลยทดสอบกันหน่อย เลยรวบรวม การใช้ มาตรา 44 ตามคำสั่งที่ 10//2559 และ 11/2559 ของกระทรวงศึกษาธิการ มาเล่าสู่กันฟัง...
"มาตรา44! ล้างบางกระทรวงศึกษาธิการ"
ขอบคุณที่มา Nation TV - เว็บไซต์สถานีข่าวอันดับ 1 ของเมืองไทย
: http://www.nationtv.tv/main/content/social/378494868/
"ส่งสัญญาณมาตลอดว่า..จะใช้มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาแก้ไขปัญหาระบบบริหารงานบุคคล รวมถึงโครงสร้างของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เพราะด้วยระยะเวลาของรัฐบาลที่เหลืออยู่อีกประมาณ 1 ปี 6 เดือน หากจะให้รอแก้ไขพ.ร.บ. ระเบียบ กฎหมาย หรือข้อบังคับ จะไม่ทันการณ์"
"ดังนั้น ค่ำวันที่ 21 มี.ค.ที่ผ่านมาคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 10/2559 ลงนามโดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช. เรื่อง การขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาคยุบเลิกคณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษา และอ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และให้โอนอำนาจหน้าที่ไปให้ กศจ.จังหวัดพร้อมตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค ที่มี รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธาน และให้มีคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด กศจ. มีผู้ว่าราชการจังหวัดหรือรองผู้ว่าฯ เป็นประธาน และคณะอนุกรรมการการศึกษาจังหวัด เรียกโดยย่อว่า อกศจ. มีศึกษาธิการจังหวัดเป็นประธาน และและคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 11/2559 ให้มีสำนักงานศึกษาธิการภาค จำนวน 18 ภาค ทำหน้าที่แทนอ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯประถมศึกษา และอ.กค.ศ.เขตพื้นที่ฯมัธยมศึกษาและให้มีสำนักงานศึกษาธิการภาคจังหวัด 77 จังหวัดด้วยพล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ อธิบายถึงเหตุผลที่เสนอใช้ม.44 ว่า 4 เหตุผลหลักของการใช้ม.44 ครั้งนี้คือ 1.การบูรณการระดับพื้นที่/ภูมิภาค 2.ลดช่องว่างการบังคับบัญชา 3.ความเป็นเอกภาพในการจัดการศึกษา และ4.ความคล่องตัวในการบริหารงานบุคคล ซึ่งต้องการให้มีผลต่อการขับเคลื่อนการศึกษาระหว่างที่รัฐบาลเหลือเวลาอีก 1 ปีครึ่งในการปฎิรูปประเทศ โดยเฉพาะการบริหารบุคคล ทั้งบรรจุครู อนุมัติย้ายข้ามเขต หรือลงโทษวินัยเหล่านี้มีเรื่องค้างอยู่อีกกว่า 100 คดีจะต้องผ่านอ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษาซึ่งเป็นวงที่แคบ แต่จากนี้จะทำในวงที่ใหญ่ขึ้นเพราะมองในภาพกว้างระดับจังหวัด ระดับภูมิภาค จะทำให้มีทางเลือกที่จะคัดเลือกครู ผู้บริหารร.ร.ได้มากขึ้น เพราะฉะนั้น จึงเป็นเหตุผลที่จะต้องปรับเปลี่ยนระบบการทำงานให้กระชับ คล่องตัวขึ้น"
"ในอดีตที่ผ่านมากระทรวงศึกษาธิการ มีการบริหารจัดการแบบรวมศูนย์ ก่อนจะเปลี่ยนมาสู่รูปแบบกระจายอำนาจไปยังเขตพื้นที่ฯ ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เป้าหมายพื่อให้เกิดการบริหารจัดการในระดับพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพในทุกๆด้าน ทั้งวิชาการ บุคลากร แต่ในรัฐบาลยุคปัจจุบันที่มองว่าการบริหารจัดการแบบรวมศูนย์ดูจะเป็นหนทางที่เกิดประโยชน์มากที่สุด เห็นได้เริ่มจากการจัดการกลุ่มมีอิทธิพล และหากจะจัดระบบระเบียบประเทศให้ดี ก็ต้องจัดระบบระเบียบของ ศธ.ซึ่งเป็นหน่วยงานมีกำลังคนมากสุด มีปัญหาทุจริตไม่น้อยเช่นกันพล.อ.ดาว์พงษ์ ย้ำชัดว่า ไม่ได้มองว่าการกระจายอำนาจไม่ดี แต่ต้องมามองปัญหาที่เกิดขึ้นในตอนนี้ว่าคืออะไร การกระจายอำนาจควรจะทำเมื่อมีความพร้อมและต้องไม่ใช้เวลาเป็นเงื่อนไข เพราะฉะนั้น แม้จะมองว่าการรวบอำนาจและให้ กศจ.มาทำหน้าที่แทน เป็นการถอยหลังแต่ผมมองว่าเมื่อที่ทำอยู่ยังไม่มีอะไรดี มีแต่จะเลวลงทำไมไม่ไปดูของเดิมว่ามีจุดดีอย่างไร ซึ่งการตัดสินใจครั้งนี้เกิดเสียงเรียกร้องของคนในกระทรวงทั้งสิ้น ไม่ได้คิดเองคนเดียว อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าครูและบุคลากรทุกคนจะไม่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้ขณะที่นักวิชาการ ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นว่า นับว่ารัฐบาลใช้ยาแรง และเป็นความกล้าตัดสินใจของ พล.อ.ดาว์พงษ์ เพื่อสร้างเอกภาพในศธ.เนื่องจากที่ผ่านมา องค์กรต่างๆของศธ.ทั้ง 5 องค์กรหลักต่างคนต่างทำงาน , ปัญหาการโยกย้ายครูที่ทำไม่ได้ และ ในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านเพื่อนำไปสู่การปฏิรูปการศึกษาจะต้องใช้คำสั่ง ม.44 ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทันทีในส่วนภูมิภาค ซึ่งเป็นการใช้อำนาจที่เด็ดขาด กึ่งเผด็จการ แต่จำเป็นต้องทำ เพื่อให้เกิดผลทันที ถือเป็นการปฏิวัติเงียบในศธ. และถือว่าเป็นการปรับที่ไปสู่โครงสร้างเดิมเกือบ 80% ที่แตกต่างคือ การมีประชารัฐ ให้ภาคเอกชนและท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วม และการให้จังหวัดจัดการตนเอง แต่ยังเป็นสัดส่วนที่น้อย"
"ศ.ดร.สมพงษ์ แสดงความเป็นห่วงด้วยว่า หากในอนาคตมีรมว.ศึกษาธิการ ที่มาจากนักการเมือง บอกได้เลยว่า อันตราย อาจเกิดปัญหาวิ่งเต้นโยกย้ายข้าราชการที่ไม่เหมาะสม อีกทั้งสายบังคับบัญชาจากกระทรวงกว่าจะถึงโรงเรียนมีหลายขั้นตอน ตั้งแต่ รมว.ศธ.,ปลัดศธ.,ศึกษาธิการภาค,ศึกษาธิการจังหวัด และโรงเรียน อยากขอให้รมว.ศึกษาธิการ ใช้ม.44 ในช่วงเปลี่ยนผ่าน และวางระบบการบริหารบุคคลที่ดี โดยคืนอำนาจให้กับจังหวัดและพื้นที่โดยเร็วในฟากของภาคเอกชนที่เข้ามาร่วมนามประชารัฐ อนุสรณ์ แสงนิ่มนวล ประธานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) มองว่า ไม่ทราบระบบการบริหารงานของศธ.ชัดเจนนัก แต่ที่ผ่านมาก็เคยได้ยินข่าวในเชิงไม่ดีเกี่ยวกับเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายครูและผู้บริหารสถานศึกษามาบ้าง ดังนั้นหากเปลี่ยนแปลงแล้ว ทำให้ครูและคนส่วนใหญ่รู้สึกพอใจก็เป็นเรื่องดี ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ อาจทำให้ภาคเอกชนเกิดความสับสนบ้าง งงเพราะเห็นระบบการบริหารจัดการศึกษาของเราเปลี่ยนแปลงบ่อย ซึ่งไม่แน่ใจว่าได้ถามความคิดเห็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียบางหรือไม่ โดยเฉพาะภาคเอกชน ซึ่งรัฐบาลนี้เปิดโอกาสให้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษามากขึ้น ดังนั้นต้องให้เวลาสร้างความเข้าใจหากเปลี่ยนแล้วดีขึ้น เชื่อว่าไม่นานก็จะสังคมก็จะเกิดความเชื่อมั่นอย่างไรก็ดี แม้ ศธ.จะอ้างเหตุผลในเพื่อให้เกิดการบูรณาการทำงานร่วมกันทุกภาคส่วน การบริหารจัดการที่คล่องตัว หรือมีเอกภาพมากขึ้น มีโอกาสที่จะได้คัดเลือกครูและผู้บริหารที่มีความสามารถได้มากขึ้นเพราะไม่ต้องรอผ่านอ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ ซึ่งว่ากันว่ามีอำนาจล้นฟ้า จนทำให้บางเขตพื้นที่ฯใช้อำนาจที่มีไม่ถูกทาง เล่นพรรคเล่นพวก จนทำให้ได้ครูและผู้บริหารสถานศึกษาที่ไร้ศักยภาพเข้าสู่วงการศึกษา ถือเป็นการล้างกระดานปัญหานี้ไม่ไปตัว แต่การกลับมาใช้วิธีรวมศูนย์อีกครั้งให้จังหวัดบริหารจัดการก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องเฝ้ารอดูต่อไป ว่าจะดีกว่าที่เป็นอยู่หรือไม่"
"มาตรา44! ล้างบางกระทรวงศึกษาธิการ"
ขอบคุณที่มา Nation TV - เว็บไซต์สถานีข่าวอันดับ 1 ของเมืองไทย
: http://www.nationtv.tv/main/content/social/378494868/
"ส่งสัญญาณมาตลอดว่า..จะใช้มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาแก้ไขปัญหาระบบบริหารงานบุคคล รวมถึงโครงสร้างของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เพราะด้วยระยะเวลาของรัฐบาลที่เหลืออยู่อีกประมาณ 1 ปี 6 เดือน หากจะให้รอแก้ไขพ.ร.บ. ระเบียบ กฎหมาย หรือข้อบังคับ จะไม่ทันการณ์"
"ดังนั้น ค่ำวันที่ 21 มี.ค.ที่ผ่านมาคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 10/2559 ลงนามโดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช. เรื่อง การขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาคยุบเลิกคณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษา และอ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และให้โอนอำนาจหน้าที่ไปให้ กศจ.จังหวัดพร้อมตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค ที่มี รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธาน และให้มีคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด กศจ. มีผู้ว่าราชการจังหวัดหรือรองผู้ว่าฯ เป็นประธาน และคณะอนุกรรมการการศึกษาจังหวัด เรียกโดยย่อว่า อกศจ. มีศึกษาธิการจังหวัดเป็นประธาน และและคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 11/2559 ให้มีสำนักงานศึกษาธิการภาค จำนวน 18 ภาค ทำหน้าที่แทนอ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯประถมศึกษา และอ.กค.ศ.เขตพื้นที่ฯมัธยมศึกษาและให้มีสำนักงานศึกษาธิการภาคจังหวัด 77 จังหวัดด้วยพล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ อธิบายถึงเหตุผลที่เสนอใช้ม.44 ว่า 4 เหตุผลหลักของการใช้ม.44 ครั้งนี้คือ 1.การบูรณการระดับพื้นที่/ภูมิภาค 2.ลดช่องว่างการบังคับบัญชา 3.ความเป็นเอกภาพในการจัดการศึกษา และ4.ความคล่องตัวในการบริหารงานบุคคล ซึ่งต้องการให้มีผลต่อการขับเคลื่อนการศึกษาระหว่างที่รัฐบาลเหลือเวลาอีก 1 ปีครึ่งในการปฎิรูปประเทศ โดยเฉพาะการบริหารบุคคล ทั้งบรรจุครู อนุมัติย้ายข้ามเขต หรือลงโทษวินัยเหล่านี้มีเรื่องค้างอยู่อีกกว่า 100 คดีจะต้องผ่านอ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษาซึ่งเป็นวงที่แคบ แต่จากนี้จะทำในวงที่ใหญ่ขึ้นเพราะมองในภาพกว้างระดับจังหวัด ระดับภูมิภาค จะทำให้มีทางเลือกที่จะคัดเลือกครู ผู้บริหารร.ร.ได้มากขึ้น เพราะฉะนั้น จึงเป็นเหตุผลที่จะต้องปรับเปลี่ยนระบบการทำงานให้กระชับ คล่องตัวขึ้น"
"ในอดีตที่ผ่านมากระทรวงศึกษาธิการ มีการบริหารจัดการแบบรวมศูนย์ ก่อนจะเปลี่ยนมาสู่รูปแบบกระจายอำนาจไปยังเขตพื้นที่ฯ ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เป้าหมายพื่อให้เกิดการบริหารจัดการในระดับพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพในทุกๆด้าน ทั้งวิชาการ บุคลากร แต่ในรัฐบาลยุคปัจจุบันที่มองว่าการบริหารจัดการแบบรวมศูนย์ดูจะเป็นหนทางที่เกิดประโยชน์มากที่สุด เห็นได้เริ่มจากการจัดการกลุ่มมีอิทธิพล และหากจะจัดระบบระเบียบประเทศให้ดี ก็ต้องจัดระบบระเบียบของ ศธ.ซึ่งเป็นหน่วยงานมีกำลังคนมากสุด มีปัญหาทุจริตไม่น้อยเช่นกันพล.อ.ดาว์พงษ์ ย้ำชัดว่า ไม่ได้มองว่าการกระจายอำนาจไม่ดี แต่ต้องมามองปัญหาที่เกิดขึ้นในตอนนี้ว่าคืออะไร การกระจายอำนาจควรจะทำเมื่อมีความพร้อมและต้องไม่ใช้เวลาเป็นเงื่อนไข เพราะฉะนั้น แม้จะมองว่าการรวบอำนาจและให้ กศจ.มาทำหน้าที่แทน เป็นการถอยหลังแต่ผมมองว่าเมื่อที่ทำอยู่ยังไม่มีอะไรดี มีแต่จะเลวลงทำไมไม่ไปดูของเดิมว่ามีจุดดีอย่างไร ซึ่งการตัดสินใจครั้งนี้เกิดเสียงเรียกร้องของคนในกระทรวงทั้งสิ้น ไม่ได้คิดเองคนเดียว อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าครูและบุคลากรทุกคนจะไม่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้ขณะที่นักวิชาการ ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นว่า นับว่ารัฐบาลใช้ยาแรง และเป็นความกล้าตัดสินใจของ พล.อ.ดาว์พงษ์ เพื่อสร้างเอกภาพในศธ.เนื่องจากที่ผ่านมา องค์กรต่างๆของศธ.ทั้ง 5 องค์กรหลักต่างคนต่างทำงาน , ปัญหาการโยกย้ายครูที่ทำไม่ได้ และ ในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านเพื่อนำไปสู่การปฏิรูปการศึกษาจะต้องใช้คำสั่ง ม.44 ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทันทีในส่วนภูมิภาค ซึ่งเป็นการใช้อำนาจที่เด็ดขาด กึ่งเผด็จการ แต่จำเป็นต้องทำ เพื่อให้เกิดผลทันที ถือเป็นการปฏิวัติเงียบในศธ. และถือว่าเป็นการปรับที่ไปสู่โครงสร้างเดิมเกือบ 80% ที่แตกต่างคือ การมีประชารัฐ ให้ภาคเอกชนและท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วม และการให้จังหวัดจัดการตนเอง แต่ยังเป็นสัดส่วนที่น้อย"
"ศ.ดร.สมพงษ์ แสดงความเป็นห่วงด้วยว่า หากในอนาคตมีรมว.ศึกษาธิการ ที่มาจากนักการเมือง บอกได้เลยว่า อันตราย อาจเกิดปัญหาวิ่งเต้นโยกย้ายข้าราชการที่ไม่เหมาะสม อีกทั้งสายบังคับบัญชาจากกระทรวงกว่าจะถึงโรงเรียนมีหลายขั้นตอน ตั้งแต่ รมว.ศธ.,ปลัดศธ.,ศึกษาธิการภาค,ศึกษาธิการจังหวัด และโรงเรียน อยากขอให้รมว.ศึกษาธิการ ใช้ม.44 ในช่วงเปลี่ยนผ่าน และวางระบบการบริหารบุคคลที่ดี โดยคืนอำนาจให้กับจังหวัดและพื้นที่โดยเร็วในฟากของภาคเอกชนที่เข้ามาร่วมนามประชารัฐ อนุสรณ์ แสงนิ่มนวล ประธานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) มองว่า ไม่ทราบระบบการบริหารงานของศธ.ชัดเจนนัก แต่ที่ผ่านมาก็เคยได้ยินข่าวในเชิงไม่ดีเกี่ยวกับเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายครูและผู้บริหารสถานศึกษามาบ้าง ดังนั้นหากเปลี่ยนแปลงแล้ว ทำให้ครูและคนส่วนใหญ่รู้สึกพอใจก็เป็นเรื่องดี ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ อาจทำให้ภาคเอกชนเกิดความสับสนบ้าง งงเพราะเห็นระบบการบริหารจัดการศึกษาของเราเปลี่ยนแปลงบ่อย ซึ่งไม่แน่ใจว่าได้ถามความคิดเห็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียบางหรือไม่ โดยเฉพาะภาคเอกชน ซึ่งรัฐบาลนี้เปิดโอกาสให้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษามากขึ้น ดังนั้นต้องให้เวลาสร้างความเข้าใจหากเปลี่ยนแล้วดีขึ้น เชื่อว่าไม่นานก็จะสังคมก็จะเกิดความเชื่อมั่นอย่างไรก็ดี แม้ ศธ.จะอ้างเหตุผลในเพื่อให้เกิดการบูรณาการทำงานร่วมกันทุกภาคส่วน การบริหารจัดการที่คล่องตัว หรือมีเอกภาพมากขึ้น มีโอกาสที่จะได้คัดเลือกครูและผู้บริหารที่มีความสามารถได้มากขึ้นเพราะไม่ต้องรอผ่านอ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ ซึ่งว่ากันว่ามีอำนาจล้นฟ้า จนทำให้บางเขตพื้นที่ฯใช้อำนาจที่มีไม่ถูกทาง เล่นพรรคเล่นพวก จนทำให้ได้ครูและผู้บริหารสถานศึกษาที่ไร้ศักยภาพเข้าสู่วงการศึกษา ถือเป็นการล้างกระดานปัญหานี้ไม่ไปตัว แต่การกลับมาใช้วิธีรวมศูนย์อีกครั้งให้จังหวัดบริหารจัดการก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องเฝ้ารอดูต่อไป ว่าจะดีกว่าที่เป็นอยู่หรือไม่"
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น