ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

อยากผอม ต้อง”ปั่นจักรยานตอนเช้า”

อยากผอม ต้อง”ปั่นจักรยานตอนเช้า”


ทำไมการปั่นจักรยานตอนเช้า ถึงดี ปั่นได้นาน เเละน่าปั่นกว่าช่วงเวลาอื่นๆ หรือทำไมสามารถเผาผลาญไขมันได้ดีกว่าช่วงเวลาอื่น เรามาดูสาเหตุกัน….
กระตุ้นระบบเผาผลาญพลังงาน
การ ปั่นจักรยานตอนเช้า ช่วยกระตุ้นระบบเมตตาบอลิซึ่มให้ทำงานทั้งวัน ร่างกายคุณจะ Active มากขึ้น รู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้นเพราะสมองจะหลั่งสารความสุข หรือ endorphin ออกมาด้วย คุณจะได้ Feel good ตลอดวัน ใครที่ออกกำลังกายในตอนเช้าบ่อยๆ คงมีประสบการณ์ After burn เเม้ปั่นเเละอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยเเล้ว ร่างกายยังเผาผลาญเเคลอรี่ เรารู้สึกร้อนๆ เหมือนเครื่องยนต์ยังเดินอยู่ ภาษาฝรั่งเค้าจะเรียกว่า excess post-exercise oxygen consumption หรือ EPOC ร่างกายจะเบริ์นไขมันไปอีกสัก 2-3 ชั่วโมงเลย
สิ่งกวนใจน้อยกว่า
ปั่นจักรยานตอนเช้า ทำให้คุณออกกำลังกายได้เต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องอากาศ อุณหภูมิ และการจราจร การตั้งตารางเวลาให้การฝึกปั่นอยู่ในช่วงเช้า จะทำให้คุณออกกำลังกายบ่อยขึ้น เพราะมันคือสิ่งที่ต้องทำก่อนเพื่อน การเลื่อนให้เวลาออกกำลังกายอยู่ในช่วงเย็น บางครั้งคุณติดงาน ติดประชุม ติดงานเลี้ยงลูกค้า ดังนั้น การออกกำลังกายช่วงเย็น มีดอกาศสูงที่จะต้องยกเลิก
ไกลโคเจนมีน้อย
สารไกลโคเจนเป็นสารที่ให้พลังงานเเก่ร่างกายและกล้ามเนื้อ ร่างกายต้องการรับเข้ามาทดเเทนอยู่เรื่อยๆ ด้วยอาหารมื้อในครั้งต่อไปๆ ปกติร่างกายคนเราจะสามารถเก็บไกลโคเจนไว้ได้ประมาณ 12-16 ชั่วโมง สมมุติว่าเราใช้เวลานอนไป 6-7 ชั่วโมง เมื่อตื่นขึ้นมา ปริมาณระดับไกลโคเจนที่สะสมไว้จะน้อยลง ยิ่งเราออกปั่นด้วย เราจะยิ่งดึงสารไกลโคเจนมาใช้จนหมด ทีนี้ร่างกายจะมองหาสารให้พลังงานทดเเทนอื่นๆ เเทน อย่างเช่น ไขมัน จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมการปั่นจักรยานตอนเช้า ถึงมีโอกาสให้ร่างกายดึงไขมันมาใช้ได้เยอะกว่าช่วงเวลาอื่นๆ
ได้ทานมื้อเช้า
มื้อเช้าคือมื้อสำคัญที่สุด การ ปั่นจักรยานตอนเช้า เป็นการบังคับทางตรง ว่าเราต้องรับประทานอาหารเช้า จบการฝึก เหนื่อย หิว ต้องกิน หลายๆ คนชอบข้ามมื้อเช้าเพราะด้วยเรื่องเวลา รีบมาทำงาน การฝึกปั่นจักรยานทำให้มีการบังคับ ไม่ลองกินมื้อเช้าหลังฝึก รับรองว่าหิว ไม่มีเเรงเเน่นอน เมื่อจบการฝึกปั่นร่างกายจะอยู่ในสภาวะพร้อมย่อยสลายดึงเอาพลังงาน สารอาหารมาใช้ได้ทันที ระบบกระเเสเลือดสามารถสูบฉีดสารอาหารไปเลี้ยงทั่วร่างกาย การทานมื้อเช้าให้อิ่มสามารถป้องกันอาการหิวโซย หรือการกินจุกกินจิบได้ดี
ที่มา www.pageqq.com

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การสนทนากลุ่ม (Focus group)

การสนทนากลุ่ม   ( Focus Group)   ความเป็นมา   การสนทนากลุ่ม (Focus Group) ได้มีการพัฒนาขึ้นครั้งแรกระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1939-1945) โดยนำมาใช้ในการประเมินประสิทธิผลของรายการวิทยุกระจายเสียงที่ออกอากาศในช่วงนั้น พอสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ค.ศ. 1946 ได้มีการนำมาใช้ในกลุ่มที่ทำงานทางด้านสังคมศาสตร์ (Social Sciences) มีลักษณะเป็นการสนทนาถกแลกเปลี่ยนประเด็นปัญหาที่มีการกำหนดหัวข้อเฉพาะบางประเด็นของผู้จัด (Organizer) โดยกลุ่มคนที่เข้าร่วมประมาณ 8-10 คน ซึ่งเรียกว่า เป็น Participants หรือ Respondents โดย ผู้ที่จะเข้าร่วมการทำ Focus group จะได้รับการคัดเลือก (Screen) ตามเงื่อนไขมาอย่างดี (กรมการพัฒนาชุมชน, ม.ป.ป. เว็บไซต์) ความหมายของการสนทนากลุ่ม   สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย [สำนักงาน สกว.] (2551. เว็บไซต์) ได้ให้ความหมายของการสนทนากลุ่มไว้ว่า การสนทนากลุ่ม หมายถึงการรวบรวมข้อมูลจากการสนทนากับกลุ่มผู้ให้ข้อมูลในประเด็นปัญหาที่เฉพาะเจาะจง โดยมีผู้ดำเนินการสนทนา (Moderator) เป็นผู้คอยจุดประเด็นในการสนทนา เพื่อชักจูงให้กลุ่มเกิดแนวคิดและแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นหรือ

Brainstorming >>> ระดมสมอง

   ก ารระดมสมอง (Brainstorming) การระดมสมองเป็นเทคนิคที่สนับสนุนให้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหา โดยไม่มีการประเมินว่าความคิดเห็นของใครว่าดีหรือไม่ดี ความคิดเห็นของทุกคนจะถูกรวบรวม และนำเสนอให้สมาชิกทุกคนได้ทราบ พร้อมทั้งสนับสนุนให้สมาชิกเสนอความคิดเห็นต่อเติมหรือเสริมของกันและกันได้ การระดมสมองถือว่าเป็นวิธีแรกที่เป็นเครื่องมือที่ลดการขัดขวาง และสนับสนุนการแสดงความคิดเห็นของสมาชิก โดยการไม่มีการประเมินความคิดเห็นที่แสดงของ สมาชิก ลดการมีอิทธิพลของสมาชิกคนใดคนหนึ่ง โดยการมีวิธีสนับสนุนให้สมาชิกทุกคนได้มี โอกาสตอบให้ความคิดเห็นของสมาชิกคนอื่นอย่างสั้น ๆ นอกจากนั้นยังส่งเสริมการสร้างสรรค์ความคิดเห็นและบรรยากาศของการยอมรับสำหรับความคิดเห็นทุกชนิด การระดมสมองเป็น ส่วนหนึ่งที่จะสร้างความสำเร็จได้ ในการที่จะปรับปรุงการแสดงความคิดเห็น โดยการเปรียบเทียบกับการแก้ปัญหาโดยกลุ่ม ในลักษณะธรรมดาทั่ว ๆ ไป อย่างไร

อัตราส่วนการแสดงผลของจอภาพมาตรฐาน....ในปัจจุบัน

มาเปรียบเทียบอัตราส่วนการแสดงผลของจอภาพมาตรฐานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นจอโทรทัศน์ จอคอมพิวเตอร์ ไปจนถึงการแสดงผลแบบ HDTV ( High Definition Television ) ซึ่งการแสดงผลของภาพในปัจจุบันกำลังพัฒนาไปสู่การแสดงผลของภาพที่ให้ความคมชัดสูงมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อที่จะทำให้การแสดงผลของจอภาพรองรับมาตรฐานแบบ Full HD จากรูป..เป็นการเปรียบเทียบการแสดงผล สำหรับจอภาพ ตามมาตรฐานต่างๆ ที่เรารู้จัก... - Full HD (High Definition) 1920 x 1080 - HD (High Definition) 1280x720 - PC XGA (Extended Graphics Array) 1024x768 - SD (Standard Definition) PAL TV 768x576 - SD (Standard Definition) NTSC TV 720x480 - CIF (Common Intermediate Format) 352x288 - QCIF (Quarter Common Intermediate Format) 176x144        ซึ่งแต่ละระบบ มีความแตกต่างกันของขนาดภาพ มันเกี่ยวข้องกับการบันทึกภาพวิดีโอ หรือการนำไปตัดต่อภาพวิดีโอด้วย เช่น การส่งภาพข่าวของผู้สื่อข่าว บมจ.อสมท ในขณะนี้ใช้ขนาด 720x576 และกล้องวิดีโอที่ส่งมาให้ใช้งานตามภูมิภาค ปรับมาตรฐานของภาพที่บันทึกเป็น 720x576 นั่นเอง ซึ่งอยู่ในระบบ